เทศน์เช้า

เพศกับกิเลส

๒o ต.ค. ๒๕๔๔

 

เพศกับกิเลส
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คฤหัสถ์เพศฆราวาส เพศนักบวช เพศมันเป็นเพศ เพศนี่มันคุ้มภัยได้อย่างหนึ่ง แล้วเป็นสมมุติ เวลาเรามีปัญหากัน บวชพระนี่เขาจะให้อภัยกัน นี่เพศมันคุ้มภัยอย่างนั้นได้ เพศมันคุ้มภัยได้ แต่เพศไม่สามารถคุ้มกิเลสได้ กิเลสมันเป็นกิเลสอยู่ในหัวใจ เพศคุ้มภัยภัยภายนอก ภัยที่เขาเห็นกันนี่มันคุ้มภัยได้ แต่กิเลสมันคุ้มไม่ได้หรอก ฉะนั้นกำจัดกิเลสนี่เพศใดก็แล้วแต่กำจัดกิเลสได้หมด กำจัดกิเลสได้ถ้าภาวนาจริงนะ

ถ้าภาวนาตามความเป็นจริงนี่จะกำจัดกิเลสได้ ถ้าภาวนาไม่ตามความเป็นจริง มันจะเพศไหนมันก็กำจัดกิเลสไม่ได้ ฉะนั้นกิเลสนี่มันถึงว่าทำได้ ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติกัน หวังให้พ้นทุกข์ไง ก็หวังว่าจะสิ้นสุดจากทุกข์เหมือนกัน พ้นจากทุกข์ในชาตินี้ให้ได้ พยายามเพราะมันเห็นทุกข์ เห็นความเป็นไปของทุกข์ของโลกเขา โลกเขาหมุนเวียนไปอย่างนั้น แล้วเขาประกอบธุรกิจ เขาประสบความสำเร็จของเขาอยู่แล้วเห็นไหม เขาประสบความสำเร็จแต่เขาก็ยังทุกข์อยู่ในหัวใจ เขาถึงว่าเขาอยากจะสิ้นสุด สิ้นในชาตินี้เลย ถ้าสิ้นในชาตินี้ก็ให้ประพฤติปฏิบัติเลย ถ้าประพฤติปฏิบัติทำความเป็นจริงได้

อันนี้ถ้าบวชนี่มันมีโอกาสมากกว่า โอกาสมากกว่าเพราะว่ามันมีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติตลอดเวลา เห็นไหม ทางอันกว้างขวาง แต่ถ้าเป็นคฤหัสถ์นี่ทางอันคับแคบ ทางมันคับแคบ คับแคบไม่ใช่ว่าคับแคบตรงที่ไหน คับแคบตรงกาลเวลา เวลานี่มันดึงไป ทางโลกมันดึงไปตั้งมาก พอทางโลกดึงไปมากนี่มันก็ดึงออกไป

แต่ถ้าทางธรรมขึ้นมา ถ้าเราบวชขึ้นมานี่เวลา ๒๔ ชั่วโมงมันได้ปฏิบัติทั้งหมด ถ้ามันได้ปฏิบัติทั้งหมด มันพยายามทำขึ้นไปนี่ ถ้ามันมีกำลังใจเห็นไหม กำลังใจสำคัญที่สุด กำลังใจแล้วความเริ่มต้นของเรา เริ่มต้นเราเริ่มบวชขึ้นมานี่เราหวังจะพ้นทุกข์ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติทั่วไปน่ะความเคยชินขึ้นมานี่ มันทำให้ชินชา ความชินชาของใจ พอใจมันชินชานั่นน่ะกิเลสมันไม่ไว้หน้าไง กิเลสมันไม่ไว้หน้าว่าเป็นเพศไหนด้วยนะ

เวลามันเริ่มต้นนี่ มันเริ่มต้นมันทำได้ แต่พอมันชินชาเข้าไป มันก็เข้าไปกัดกินหัวใจนั่นน่ะ มันทำให้เฉื่อยชา เห็นไหม มันไม่จำกัด กิเลสมันไม่ไว้หน้าเพศไหนทั้งสิ้น เวลามันเป็นกิเลสขึ้นมา มันเป็นกิเลสทั้งหมด ถึงบอกว่าถ้าเราทำได้จริง เราหวังจริง เราหวังพ้นทุกข์จริง ไอ้อย่างเพศคฤหัสถ์นี่มันดีอย่างหนึ่ง มันดีอย่างหนึ่งว่ามันได้เห็นทุกข์ข้างนอกเข้ามา ถ้าเพศนักบวชนี่มันมีแต่ว่าต่อสู้กิเลสโดยตรงเลย

เวลาต่อสู้กิเลสโดยตรงขึ้นมานี่ มันไม่เห็นความทุกข์ยากจากการประกอบสัมมาอาชีวะนี่ มันจะนอนใจไง ความนอนใจอันนั้นน่ะมันไม่ตื่นตัว ถ้ามันตื่นตัวขึ้นมานี่ มันเห็นความทุกข์ขึ้นมา คนเราไม่ทุกข์ไม่ยาก ไม่อดไม่อยาก ถ้ามันทุกข์ยากขึ้นมามันถึงจะดิ้นรน ความอดอยากนี่มันถึงจะแสวงหา แต่ถ้าคนมันอิ่มหนำสำราญขึ้นนี่ มันมีคนคอยปรนเปรออยู่นี่ มันจะนอนใจ

ความนอนใจอันนั้นน่ะ ทำให้กิเลสมันอาศัยช่องทางอันนี้ให้เราเนิ่นช้าออกไป การปฏิบัติของเราเนิ่นช้า มันไม่ฟิตตัว ถ้ามันฟิตตัวขึ้นมานี่มันจะทำของเราขึ้นมาได้ ถ้าฟิตตัวขึ้นมานี่กิเลสมันอยู่ในหัวใจทั้งหมด เรื่องของกิเลสคือเรื่องการเอาชนะตน ทีนี้เรื่องการเอาชนะตนนี่ เวลามันเปลี่ยนจากเพศคฤหัสถ์มาเป็นเพศนักบวชนี่ มันเหมือนตายไง ตายจากเพศคฤหัสถ์มาเกิดใหม่ในเพศของนักบวช

ถ้าตรงนั้นน่ะมันมีช่องทางตรงนั้นไป ใจมันถึงรอตรงนั้นไง รอจังหวะว่าเมื่อนั้นจะทำอย่างนั้น ๆ มันถึงว่าอยากไป มันมีช่องทางไป ทีนี้กิเลสเวลานักบวชขึ้นมามันไม่มีตรงนั้น กิเลสของนักบวชมันไม่มีตรงนั้น ตรงที่ว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป มันมีแต่กำจัดกิเลส กิเลสมันถึงจะซึ่ง ๆ หน้า กิเลสมันถึงจะต่อสู้ภายหน้า ถ้ากิเลสมันสู้ซึ่ง ๆ หน้าขึ้นมานี่ นั่นน่ะมันเป็นความทุกข์

เพราะการเอาชนะกิเลสคือเอาชนะตน การเอาชนะตนมันต้องทุ่มทั้งชีวิต เพราะถ้าเอาตายเข้าแลก เอาตายเข้ามาวางไว้ตรงหน้านี่ มันจะเป็นหรือจะตายนี่มันจะเอาแพ้ชนะกัน ไม่อย่างนั้นมันจะแพ้ตัวเองตลอดเวลาไป มันแพ้กิเลสเห็นไหม จากเพศคฤหัสถ์มาเป็นเพศนักบวชน่ะมันมีโอกาสได้เปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงอันนั้นน่ะกิเลสมันหลอก มันซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น มันไม่เห็น มันก็เลยว่าอ่อนตัวลงไป

แต่เวลาเราเปลี่ยนแปลงนี่ ความเปลี่ยนแปลงของนักบวช เห็นไหม ความเปลี่ยนแปลงเอาชนะตนเองนี่ จะเอาชนะตนเอง แล้วเอาชนะตนเองมันชนะอย่างไร นั่นน่ะการต่อสู้กับกิเลสโดยอ้อม กับการต่อสู้กับกิเลสโดยตรง เล่ห์เหลี่ยมของกิเลสมันต่างกัน เล่ห์เหลี่ยมของกิเลสมันต่างกันเพราะว่ามันมีโอกาส มันมีวิชาต่างกัน มันถึงว่าโอกาสของใคร

นี่ความอยากไง เวลาเห็นตรงนั้นมันเอามาเป็นกำลังใจได้ ทุกคนอยากจะพ้นจากความทุกข์ ทุกคนอยากจะออกจากทุกข์ให้ได้ แต่ทุกคนจะเอาวิธีการอย่างใดที่จะออกจากทุกข์ให้ได้ ถ้าทำอย่างนั้นก็เป็นโลกียะ ว่าปัญญามันเกิดเห็นไหม เวลาอยู่ในเพศคฤหัสถ์นี่ เวลาประพฤติปฏิบัตินี่มันจะไปได้ง่าย มันจะคล่องแคล่ว มันจะเป็นไปได้ นั่นน่ะปัญญาอย่างนั้นปัญญามันเกิด มันเห็นเป็นปัญญาไป

ปัญญาอย่างนั้นมันเป็นปัญญาที่ว่า มันใช้อยู่ในโลกเขานี่ มันใช้อยู่ปัญญาอย่างหนึ่ง พอใช้ปัญญาอย่างนี้ขึ้นมานี่มันปลอดโปร่งไง ความปลอดโปร่งของตัว คิดว่ามันจะทำง่ายขึ้นมา เห็นไหม กระสุนวิถีโค้ง วิถีโค้งไปนี่ กิเลสมันหลอกไปอีกชั้นหนึ่ง หลอกดักหน้าไปอีกชั้นหนึ่ง เราไม่รู้สึกตัวเลย แต่มันไม่เป็นไป ถ้าไม่เป็นไป ไม่เป็นไปตามสัจธรรม มันถึงแก้กิเลสไม่ได้

นี่มันเป็นความหวังไง หวังนี่เป็นตัณหาความทะยานอยาก แต่ตัณหาความหวังอันนี้ มันเป็นมรรคก็ได้ ถ้ามรรคเราอยากจะพ้นจากทุกข์ เราอยากประพฤติปฏิบัติขึ้นไป มันยังไม่ได้สู้กับกิเลสนี่น่ะ มันเหมือนนักกีฬา ดูเขาเล่นน่ะ มันก็น่าจะชนะ น่าจะทำได้หมด ทำอย่างไหนก็ทำได้ ๆ แต่ลงไปเล่นเองน่ะ มันต้องใช้กำลังของตัวอย่างหนึ่ง ยังมีการขัดข้องจากคู่ต่อสู้อย่างหนึ่ง

อันนี้ก็เหมือนกัน ใช้กำลังของตัวเอง เห็นไหม ทำความสงบของใจนี่ ถ้านักกีฬาเขาซ้อมมากนี่เขาจะมีกำลังมาก เขาจะทำตัวของเขาดี แล้วของเขาจะมีกำลังวังชา เขาจะเล่นกีฬาได้ยืนยาว อันนี้ก็เหมือนกัน กำลังของใจ เห็นไหม กำลังของใจต้องใช้ความสงบของตัวเอง ถ้าตัวเองไม่มีความสงบของตัวเองนี่ กำลังของใจมันไม่มี แล้วพอกำลังใจของตัวเองมีขึ้นมาแล้วนี่ มันก็เข้าไปต่อสู้กับกิเลส เห็นไหม เข้าไปต่อสู้กับกิเลสคือนักกีฬาต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเรายังไม่ได้ต่อสู้กิเลส เรามีแต่วอร์มให้ร่างกายเราแข็งแรงนี่ เราทำอย่างไรก็ทำได้ เราคิดของเราก็คิดได้ นี่ปัญญาถึงภาวนามยปัญญามันเกิดมันเกิดตรงนั้น ปัญญาเกิดตรงนี้ มันถึงจะเป็นปัญญาในการชำระกิเลส ตรงนี้คนมองไม่เห็นกันไง ถึงว่าเดี๋ยวนี้มันเป็นเรื่องของสุตมยปัญญาทั้งหมด นักบวชหรือการสอนกันก็แล้วแต่ จะพูดถึงปัญญาของโลกียปัญญาทั้งนั้น แล้วก็พูดกันไปทั้งนั้นน่ะเป็นปรัชญา พูดเป็นปรัชญาไป เข้าใจกัน ความเห็นของปรัชญาจะเข้าใจตามกันไป แล้วมันก็ไม่ได้ชำระกิเลสจริง ๆ เห็นไหม

นี่มันถึงบอกว่า มันเหมือนกับว่าตอนนี้ศาสนามันเคลื่อนออกมาแล้ว มันเคลื่อนออกมาจากหลักศูนย์กลางของมัน หลักศูนย์กลางของศาสนาคืออริยสัจ ความทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันต้องจำกัดตรงนั้น แต่ตอนนี้มาลูบ ๆ คลำ ๆ กันไง ลูบ ๆ คลำ ๆ กันว่าสิ่งนั้นเป็นปรัชญา ความจริงนี่เป็นอย่างไร แล้วคิดวิตกวิจารกันไป แล้วเห็นตามอย่างนั้นไป ตรงนั้นน่ะศาสนามันเคลื่อนออกมาชั้นหนึ่ง เคลื่อนออกมาเป็นโลกียะ เคลื่อนออกมาเป็นความเห็นของตัว มันไม่ได้ขึ้นเป็นโลกุตตระ มันไม่เข้าไปในการชำระกิเลส ไม่เกิดปัญญาในการต่อสู้กับกิเลสในฝ่ายตรงข้าม

อันตรงนี้มันถึงว่ามันเลยต่างกัน ความเห็นมันต่างกัน ความเห็นของนักบวช เวลาของครูบาอาจารย์คือเวลาสอนกันน่ะเอาเป็นเอาตายนะ ต้องฆ่ากิเลส ต้องเอาเป็นเอาตาย การเอาเป็นเอาตายนั่นต่อสู้กันเต็มที่ แต่ในการพูดกับญาติโยมต่อไปนี่ มันเป็นการสื่อ เป็นการเทศน์เพื่อปลูกศรัทธา

การปลูกศรัทธา ความเห็นในศรัทธานั้น มันจะเห็นตามความเป็นจริงได้ ถ้าเห็นตามความเป็นจริงได้ มันก็เห็นตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงของโลกียะ ตามความจริงของการเปรียบเทียบไง พอการเปรียบเทียบจะมีความซึ้งใจ ศรัทธามันเกิดมันเกิดตรงนั้น เห็นไหม การเปรียบเทียบและการซึ้งใจ นี่เปรียบเทียบ การเปรียบเทียบกับการต่อสู้กับกิเลสมันต่างกัน ปัญญามันต่างกัน มันถึงมีหยาบ มีกลาง มีละเอียดไง

ความเห็นของใจ ถึงว่าเรื่องของใจนี่เป็นเรื่องของใจล้วน ๆ มันสามารถผ่านไปได้ มันไม่สามารถที่จะว่าต้องเป็นเพศนั้น ๆ เลย เพศนั้นมันเป็นโอกาสเท่านั้น การที่ว่าจะเพศใดถึงจะชำระกิเลสได้...เป็นไปได้หมด เพียงแต่ว่าเป็นเพศคฤหัสถ์นี่การต่อสู้มันกลับยากกว่านักบวช ยากกว่านักบวชเพราะว่าเวลามันน้อยกว่า แล้วสิ่งที่กระทบกระเทือนมันจะมากกว่า เพศนักบวชนี่มันจะมีน้อยกว่า

แต่เพศนักบวชมันเป็นเพศเหมือนกับปลาย่าง เห็นไหม ปลาสดกับปลาย่าง ปลาสดน่ะมันอิ่มไปด้วย...มันเป็นปลาสด เนื้อหนังมันทำได้ แต่ปลาย่าง เพศนักบวชเป็นปลาย่าง ปลาย่างเพราะว่ามันต้องย่างตลอด มันแห้งไง มันแห้งแล้งในเรื่องของกามราคะ เรื่องของกาม เรื่องของโลกเขา นี่มันทุกข์คนละอย่างกัน มันทุกข์ออกไปอีกอย่างหนึ่ง การเปรียบเทียบของการประพฤติปฏิบัติมันถึงต้องต่างกัน มันต่างกันตรงนั้น ต่างกันในความเห็นของตัว แต่มันสามารถเป็นไปได้

ถึงพูดกับเขาว่า เป็นไปได้ ผ่านพ้นได้ ถ้าพูดถึงประพฤติปฏิบัติธรรมจริงสมควรแก่ธรรม เพศใดก็แล้วแต่ เพศไม่สำคัญ สำคัญขอให้ทำจริง แล้วเข้าหลักความจริง เข้าหลักอริยสัจ เข้าองค์มรรค แล้วจะผ่านพ้นกิเลสไปได้ เอวัง